คำชี้แจง ให้นักศึกษาอ่านแล้วตอบคำถามดังต่อไปนี้
1.กฎหมายคืออะไร จงอธิบาย และการบังคับใช้กฎหมายจะต้องเป็นไปด้วยความเสมอภาคโดยไม่เลือกปฏิบัติหมายความว่าอย่างไร
1.กฎหมายคืออะไร จงอธิบาย และการบังคับใช้กฎหมายจะต้องเป็นไปด้วยความเสมอภาคโดยไม่เลือกปฏิบัติหมายความว่าอย่างไร
กฎหมาย คือ คำสั่งหรือข้อบังคับความประพฤติของมนุษย์ ซึ่งผู้มีอำนาจสูงสุด
หรือรัฏฐาธิปัตย์เป็นผู้บัญญัติขึ้นผู้ใดฝ่าฝืนก็จะต้องได้รับการลงโทษ โดยกฎหมายนั้นจะมีสภาพบังคับเพื่อให้กฎหมายเกิดความศักดิ์สิทธิ์ และประชาชนเคารพเชื่อฟังปฏิบัติตามกฎหมายจึงต้องมีสภาพบังคับ
สภาพบังคับของกฎหมายนั้นแบ่งเป็นสภาพบังคับในทางอาญาและทางแพ่ง และทุกคนจะต้องรู้กฎหมายของประเทศด้วย
ซึ่งกฎหมายที่มีอยู่นั้นเป็นไปด้วยความเสมอภาค ไม่เลือกปฏิบัติก็คือไม่ว่าจะเป็นคนจน
คนรวยหรือจะมีอำนาจมากแค่ไหนก็ใช้กฎหมายตัวเดียวกัน หรือไม่คนจนโดนจำคุก
แต่คนรวยไม่โดน เนื่องจากแต่ละคนก็มีสิทธิความเป็นมนุษย์เหมือนกันทั้งสิ้น
2.การที่กฎหมายกำหนดให้ครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา และบุคลากรทางการศึกษาอื่น ทั้งของรัฐและเอกชน จะต้องมีใบประกอบวิชาชีพ ท่านเห็นด้วยหรือไม่เพราะอะไร จงให้เหตุผลประกอบ
2.การที่กฎหมายกำหนดให้ครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา และบุคลากรทางการศึกษาอื่น ทั้งของรัฐและเอกชน จะต้องมีใบประกอบวิชาชีพ ท่านเห็นด้วยหรือไม่เพราะอะไร จงให้เหตุผลประกอบ
เห็นด้วย เนื่องจากใบประกอบวิชาชีพที่ได้มานั้นจะต้องผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติความเป็นครู
ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา และบุคลากรทางการศึกษาว่าจะมีคุณสมบัติตามที่ได้กำหนดไว้หรือไม่
เพราะหากไม่ได้กำหนดไว้ ก็แสดงว่าบุคคลทั่วไปก็สามารถเป็นครูได้
แล้วถ้าอย่างนั้นแล้วจะเรียนครูไปทำไม่ หากไม่เรียนก็เป็นได้
ฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องมีกฎหมายมาบังคับให้ครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา
และบุคลากรทางการศึกษามีใบประกอบวิชาชีพ และเพราะว่าอาชีพครูเป็นอาชีพที่มีจรรยาบรรณ ต้องมีความรับผิดชอบต่อลูกศิษย์ ไม่ใช่ว่าใครที่ไหนก็จะมาเป็นครูได้ ฉะนั้นคนที่อยากเป็นครูจึงต้องมีใบประกอบวิชาชีพทุกคน ส่วนคนที่ไม่มีเขาก็เปิดโอกาสให้มาเรียนตามสถาบันที่เปิดสอน ซึ่งเราจะต้องเรียนมาตรฐาน 9 เล่ม ตามที่ คุรุสภากำหนด จบแล้วก็จะได้ใบอนุญาตทำการสอน
ถ้าใครเป็นครูอยู่แล้วก็สามารถไปขอใบวิชาชีพได้เลยที่คุรุสภา
โดยมีใบอนุญาตทำการสอนแนบกับใบรับรองประสบการณ์การสอน 1 ปี แล้วก็จะได้ใบประกอบวิชาชีพครู
3.ท่านมีแนวทางในการระดมทุน และทรัพยากรเพื่อการศึกษาในท้องถิ่นของท่านอย่างไรบ้าง อธิบายยกตัวอย่าง
แนวทางในการระดมทุนและทรัพยากรทางการศึกษาในท้องถิ่นนั้น ฉันคิดว่าควรที่จะหาจากองค์กรรัฐ หรือองค์กรอิสระเช่น จากห้างร้านที่เห็นว่ามีกำลังทรัพย์พอสมควรที่จะใช้ในการศึกษา อาจจะสรรหามาจากหลายๆ แหล่ง ทั้งที่เป็นองค์กรรัฐและเป็นองค์กรเอกชน และในการระดมทรัพยากรเพื่อสนับสนุนการจัดการศึกษา นั้นควรที่จะสำรวจแหล่งเรียนรู้ สถานประกอบการและภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อทำข้อตกลงการให้ความร่วมมือในการใช้ทรัพยากรร่วมกัน จัดการบริหาร และใช้ งบประมาณ วัสดุอุปกรณ์ แหล่งเรียนรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่นร่วมกัน โดยการจัดหาทรัพยากรนั้นอาจมีหลายอย่างทั้งด้านงบประมาณการเงิน และทรัพย์สิน โดยหามาจากทั้งจากรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน เอกชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ สถาบันสังคมอื่น และต่างประเทศมาใช้จัดการศึกษาโดยเป็นผู้จัดและมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา บริจาคทรัพย์สิน หรือทรัพยากรอื่นให้แก่สถานศึกษาและมีส่วนร่วมรับภาระค่าใช้จ่ายทางการศึกษาตามความเหมาะสมและความจำเป็น
4.รูปแบบการจัดการศึกษามีกี่รูปแบบอะไรบ้าง และการศึกษาในระบบมีกี่ระดับประกอบด้วยอะไรบ้าง
ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2545 กำหนดนั้นแบ่งการศึกษาออกเป็น 3 รูปแบบ ได้แก่ การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย
1. การศึกษาในระบบนั้น
เป็นการศึกษาที่กำหนดจุดมุ่งหมาย วิธีการศึกษา หลักสูตร ระยะเวลาของการศึกษา
การวัดและการประเมินผล ซึ่งเป็นเงื่อนไขของการสำเร็จการศึกษาที่แน่นอน
ซึ่งการศึกษารูปแบบนี้จัดในโรงเรียน วิทยาลัย
มหาวิทยาลัย หรือสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเรียกอย่างอื่น สามารถจัดการศึกษาในชั้นเรียนหรือเป็นการศึกษาทางไกล
2. การศึกษานอกระบบ
เป็นการศึกษาที่ยืดหยุ่นในการกำหนดจุดมุ่งหมาย รูปแบบ วิธีการจัดการศึกษา
ระยะเวลาการศึกษา
การวัดและประเมินผลโดยคำนึงถึงความเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการของแต่ละบุคคล
เช่น การศึกษานอกโรงเรียน การฝึกอบรมหลักสูตรต่างๆ
3. การศึกษาตามอัธยาศัย
เป็นการศึกษาที่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ได้ด้วยตนเองตามความสนใจ ศักยภาพ
ความพร้อมและโอกาส สามารถศึกษาได้จากบุคคล สภาพแวดล้อม
สื่อหรือแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ การศึกษาแบบนี้มีความยืดหยุ่น เปิดโอกาสให้ผู้สนใจสามารถเลือกเนื้อหาที่สนใจตรงกับความต้องการของตนเองและสามารถศึกษาในเวลาที่ปลอดจากภารกิจอื่นได้
เช่น การฟังบรรยายพิเศษ การศึกษาจากเอกสาร การเยี่ยมชมการสาธิต
การสืบค้นข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตหรือแหล่งเรียนรู้อื่นๆ
ซึ่งจากทั้งทั้ง 3 ระบบจะมีการเชื่อมโยงกันเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดคือ
การศึกษาทั้ง 3 ระบบ
เป็นวิธีการเรียนรู้ตลอดชีวิตซึ่งสามารถนำไปพัฒนาชีวิตและสังคมจึงต้องมีการผสมผสานการศึกษาทั้ง
3 ระบบเข้าด้วยกัน กล่าวคือ
บุคคลเรียนรู้การศึกษาตามอัธยาศัยตั้งแต่เกิดโดยการเลี้ยงดูจากพ่อ แม่ ผู้ปกครอง
และการเรียนรู้ อยู่ร่วมในชุมชน รวมถึงการเรียนรู้จากแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ
จึงสรุปได้ว่าการเรียนรู้เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย
การศึกษาในระบบ แบ่งออกเป็น 2 ระดับ
คือ การศึกษาขั้นพื้นฐาน และการศึกษาระดับอุดมศึกษา
การศึกษาขั้นพื้นฐานประกอบด้วย
การศึกษาซึ่งจัดไม่น้อยกว่า 12 ปีก่อนระดับอุดมศึกษา
การแบ่งระดับและประเภทของการศึกษาขั้นพื้นฐาน
โดยจัดแบ่งไปตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง มี 3 ระดับคือ
1.การศึกษาระดับก่อนประถมศึกษา
เป็นการศึกษาที่มุ่งอบรมเลี้ยงดูเด็กก่อนการศึกษาภาคบังคับ
เพื่อเตรียมเด็กให้มีความพร้อมทุกด้านดีพอที่จะเข้ารับการศึกษาต่อไป
2.การศึกษาระดับประถมศึกษา
เป็นการศึกษาที่มุ่งให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถขั้นพื้นฐานและให้สามารถคงสภาพอ่านออกเขียนได้
คิดคำนวณ ได้มีความสามารถประกอบอาชีพตามควรแก่วัยและความสามารถ
ดำรงตนเป็นพลเมืองดีในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขได้
3.การศึกษาระดับมัธยมศึกษา
เป็นการศึกษาที่ต่อจากระดับประถมศึกษาที่มุ่งให้ผู้เรียนมีความรู้ทั้งวิชาการและวิชาชีพที่เหมาะสมกับวัย
ความต้องการ ความสนใจ และความถนัด
เพื่อให้บุคคลเข้าใจและรู้จักเลือกอาชีพที่เป็นประโยชน์แก่ตนเองและสังคม
การศึกษาระดับนี้แบ่งออกเป็น 2 ตอน คือ
มัธยมศึกษาตอนต้นและมัธยมศึกษาตอนปลาย
การศึกษาระดับอุดมศึกษา
เป็นการศึกษาหลังระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
มุ่งพัฒนาความเจริญงอกงามทางสติปัญญาและความคิด เพื่อความก้าวหน้าทางวิชาการ
การศึกษาระดับนี้จัดแบบกว้างให้ผู้เรียนมีความรู้รอบ
และเน้นเฉพาะสาขาวิชาชีพให้ผู้เรียนมีความรู้สึกและชำนิชำนาญทั้งในด้านทฤษฎี
ปฏิบัติและมีจรรยา บรรณของวิชาชีพนั้น ๆ
หน้าที่ของสถาบันอุดมศึกษาจึงมุ่งดำเนินการเรียนการสอนทั้งด้านวิชาการและวิชาชีพ
5.ท่านเข้าใจการศึกษาภาคบังคับและการศึกษาขั้นพื้นฐานเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
อธิบายยกตัวอย่างประกอบ
การศึกษาภาคบังคับนั้น เป็นการศึกษาที่มีกฎหมายบังคับให้ทุกคนเรียนอยู่ในโรงเรียนจนกว่าจะพ้นเกณฑ์ ซึ่งกำหนดตามอายุ หรือระดับการศึกษาที่ได้แสดงไว้ในแผนการศึกษาแห่งชาติ การจัดการศึกษาทุกระดับ และทุกประเภทต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับแผนการศึกษาแห่งชาติแผนพัฒนาการศึกษา แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม และนโยบายของรัฐบาล รัฐและเอกชนต่างมีส่วน ร่วมรับผิดชอบในการจัดการศึกษาให้มีประสิทธิภาพเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาของสังคม พัฒนาประเทศ และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน
การศึกษาภาคบังคับนั้น เป็นการศึกษาที่มีกฎหมายบังคับให้ทุกคนเรียนอยู่ในโรงเรียนจนกว่าจะพ้นเกณฑ์ ซึ่งกำหนดตามอายุ หรือระดับการศึกษาที่ได้แสดงไว้ในแผนการศึกษาแห่งชาติ การจัดการศึกษาทุกระดับ และทุกประเภทต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับแผนการศึกษาแห่งชาติแผนพัฒนาการศึกษา แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม และนโยบายของรัฐบาล รัฐและเอกชนต่างมีส่วน ร่วมรับผิดชอบในการจัดการศึกษาให้มีประสิทธิภาพเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาของสังคม พัฒนาประเทศ และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน
แต่สำหรับการศึกษาขั้นพื้นฐานนั้น คือ
การศึกษาที่จำเป็น และเป็นประโยชน์ เพื่อให้ผู้เรียนมีพื้นฐานที่แข็งแรงมั่นคง
เพียงพอ กับการ ดำรงชีวิตให้ดีได้ในวันข้างหน้า ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 4 ด้าน ดังนี้
ด้านที่
1.ทำให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างดี
มีชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข
ด้านที่
2.สามารถประกอบการงานอาชีพเพื่อเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้
ด้านที่
3.ทำให้สามารถพัฒนาตนเองให้เจริญก้าวหน้าได้
และด้านที่
4.และการมีส่วนร่วมกับผู้อื่นในการพัฒนาชุมชน สังคม และประเทศชาติ
ซึ่งสิ่งใดบ้างที่จะสร้างพื้นฐานให้ครบถ้วนทั้งสี่ด้านนี้ได้
คือเป้าหมายที่ต้องการให้คนได้รับและเกิดขึ้นก็คือ
การวางพื้นฐานชีวิตด้วยการเรียนภายในเวลาสิบสองปีให้ได้ความรู้ให้มากที่สุดเพื่อที่จะสามรถนำไปใช้ได้ในอนาคตต่อไป
ซึ่งในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานนั้นจะต้องไม่น้อยกว่าสิบสองปีก่อนระดับอุดมศึกษา
กล่าวได้ว่าในการศึกษาภาคบังคับนั้นจะบังคับให้ทุกคนเรียนอยู่ในโรงเรียนจนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่
3 ตามที่แผนการศึกษากำหนดไว้
และในการศึกษาขั้นพื้นฐานนั้นจะต้องเรียนไม่น้อยกว่าสิบสองปี
6.การแบ่งส่วนราชการในส่วนกลางของกระทรวงศึกษาธิการ
ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.2546 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2553 มีการแบ่งส่วนราชการเป็นอย่างไร และมีใครเป็นหัวหน้าส่วนราชการดังกล่าว
อธิบายยกตัวอย่าง
สถานภาพของหน่วยงานในกระทรวงศึกษาธิการใหม่นั้นจะ ประกอบด้วย สำนักงานรัฐมนตรีที่เป็นหัวหน้าส่วนราชการ และ อีก5 หน่วยงานหลัก คือ สำนักงานปลัดกระทรวง สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ซึ่งจะเป็นในส่วนย่อยลงมาจากนายกรัฐมนตรี ซึ่งในการทำงานนั้นจะทำกันอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ได้ซึ่งการจัดการศึกษาที่ดีที่สุดของประเทศไทย กล่าวคือ สำนักงานปลัดกระทรวง สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จะมีหน้าที่ในการจัดระบบการศึกษา หลังจากนั้นก็ได้ส่งเรื่องไปยังสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ท่านพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ว่าจะใช้การศึกษาแบบไหนที่ดีที่สุด
สถานภาพของหน่วยงานในกระทรวงศึกษาธิการใหม่นั้นจะ ประกอบด้วย สำนักงานรัฐมนตรีที่เป็นหัวหน้าส่วนราชการ และ อีก5 หน่วยงานหลัก คือ สำนักงานปลัดกระทรวง สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ซึ่งจะเป็นในส่วนย่อยลงมาจากนายกรัฐมนตรี ซึ่งในการทำงานนั้นจะทำกันอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ได้ซึ่งการจัดการศึกษาที่ดีที่สุดของประเทศไทย กล่าวคือ สำนักงานปลัดกระทรวง สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จะมีหน้าที่ในการจัดระบบการศึกษา หลังจากนั้นก็ได้ส่งเรื่องไปยังสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ท่านพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ว่าจะใช้การศึกษาแบบไหนที่ดีที่สุด
7.จงบอกเหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2546
สาเหตุในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ เนื่องจาก ครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษาและบุคลากรทางการศึกษานั้นเป็นผู้มีบทบาทสำคัญต่อการศึกษาของชาติ จะต้องเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถ และทักษะอย่างสูงในการประกอบวิชาชีพ มีคุณธรรม จริยธรรมและประพฤติปฏิบัติตนตามจรรยาบรรณของวิชาชีพ รวมทั้งมีคุณภาพและมาตรฐานเหมาะสมกับการเป็นวิชาชีพชั้นสูง จึงจำเป็นต้องตรากฎหมายเพื่อพัฒนาวิชาชีพครู และส่งเสริมมาตรฐานวิชาชีพครู และบุคลากรทางการศึกษา และเพื่อปรับสภาพในกระทรวงศึกษาธิการตาม โดยกำหนดให้คุรุสภามีอำนาจหน้าที่กำหนดมาตรฐานวิชาชีพ ออกและเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ กำกับดูแลการปฏิบัติตามมาตรฐานและจรรยาบรรณของวิชาชีพ และการพัฒนาวิชาชีพ รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ และประการสุดท้ายคือเพื่อสืบทอดประวัติศาสตร์และ เจตนารมณ์ของการจัดตั้งคุรุสภาให้เป็นสภาวิชาชีพครู
8.ท่านเข้าใจหรือไม่ว่า ถ้ามีบุคลากรไปให้ความรู้หรือสอนในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นครั้งคราว หรือไปสอนเป็นประจำ หากพิจารณาจากพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2546 กระทำผิดตาม พรบ.นี้หรือไม่เพราะเหตุใด
เป็นการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติการศึกษาฉบับนี้ เนื่องจากสภาครูและบุคลากรทางการศึกษานั้นมีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณของวิชาชีพ การควบคุมความประพฤติและการดำเนินงาน ของผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาให้เป็นไป ตามมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณของวิชาชีพ การออกใบอนุญาตให้แก่ผู้ขอประกอบวิชาชีพ การพักการใช้ใบอนุญาตหรือเพิกถอนใบอนุญาต การสนับสนุนส่งเสริมและพัฒนาวิชาชีพ ซึ่งสภาครูและบุคลากรทางการศึกษานั้นไม่สามารถไปให้ความรู้หรือสอนในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นครั้งคราว หรือไปสอนเป็นประจำได้เพราะผิดพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา
9.ท่านเข้าใจความหมายโทษทางวินัย
สำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา อย่างไร อธิบาย และโทษทางวินัยมีกี่สถาน
อะไรบ้าง
โทษทางวินัยสำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาคือ การลงโทษผู้ที่ทำผิดตามกฎหมาย กฎ ข้อบังคับ ระเบียบ และแบบระเบียบที่กำหนดให้ปฏิบัติตามหรืองดเว้นการปฏิบัติ ซึ่งโทษทางวินัยจะมี 5 สถานด้วยกัน คือ ภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน ลดขั้นเงินเดือน ปลดออก และไล่ออก
โทษทางวินัยสำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาคือ การลงโทษผู้ที่ทำผิดตามกฎหมาย กฎ ข้อบังคับ ระเบียบ และแบบระเบียบที่กำหนดให้ปฏิบัติตามหรืองดเว้นการปฏิบัติ ซึ่งโทษทางวินัยจะมี 5 สถานด้วยกัน คือ ภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน ลดขั้นเงินเดือน ปลดออก และไล่ออก
เด็กหมายถึง
บุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่าสิบแปดปีบริบูรณ์
แต่ไม่รวมถึงผู้ที่บรรลุนิติภาวะด้วยการสมรสกล่าวคือ
ผู้ที่สมรสแล้วแต่อายุยังไม่ถึงสิบแปดปีก็ไม่ถือเป็นเด็ก
เด็กเร่ร่อน
หมายถึง
เด็กที่ไม่มีบิดามารดาหรือผู้ปกครองหรือมีแต่ไม่เลี้ยงดูหรือไม่สามารถเลี้ยงดูได้
จนเป็นเหตุให้เด็กต้องเร่ร่อนไปในที่ต่างๆ ซึ่งเด็กคนนั้นอาจจะก่อเหตุให้สังคมต้องเดือดร้อน
และเด็กคนนั้นจะมีพฤติกรรมเร่ร่อนไปในสถานที่ต่างๆ
เด็กกำพร้า หมายถึง
เด็กที่บิดาหรือมารดาเสียชีวิต
เด็กที่ไม่ปรากฏบิดามารดาหรือไม่สามารถสืบหาบิดามารดาได้ และเด็กที่บิดาหรือมารดาเสียชีวิตก่อนที่เด็กคนนั้นจะบรรลุนิติภาวะ
เด็กที่อยู่ในสภาพยากลำบาก หมายถึง
เด็กที่อยู่ในครอบครัวยากจนหรือบิดามารดาหย่าร้าง ทิ้งร้าง ถูกคุมขัง
หรือแยกกันอยู่และได้รับความลำบาก ซึ่งเด็กเหล่านั้นไม่สามารถช่วยตัวเองได้
และตกอยู่ในสภาพที่ลำบากหรือเด็กที่ต้องรับภาระหน้าที่ในครอบครัวเกินวัยหรือกำลังความสามารถและสติปัญญา
หรือเด็กที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้
เด็กพิการ หมายถึง
เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกาย สมอง สติปัญญา หรือจิตใจ
ไม่ว่าความบกพร่องนั้นจะมีมาแต่กำเนิดหรือเกิดขึ้นภายหลัง
ที่ไม่สามารถดำรงชีวิตด้วยตนเองได้โดยจะต้องพึ่งพาผู้อื่นในการดำรงชีวิต เช่น บกพร่องทางตา
ทางร่างการ แขน ขา หรือบกพร่องทางการได้ยิน
เด็กที่เสี่ยงต่อการกระทำผิด หมายถึง
เด็กที่ประพฤติตนไม่สมควร เด็กที่ประกอบอาชีพหรือคบหาสมาคมกับบุคคลที่น่าจะชักนำไปในทางกระทำผิดกฎหมายหรือขัดต่อศีลธรรมอันดี
เช่น เพื่อนที่ชักนำไปสู่การติดยาเสพติด การพนัน การลักขโมย หรืออื่นๆ
ที่ผิดตามหลักกฎหมาย กฎศีลธรรม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น